โลกเปลี่ยนไปเร็วแค่ไหน เร็วจนเราจำเป็นต้องตามไหม

อยากให้ย้อนไปเมื่อสัก 20 ปีที่แล้ว หลายคนที่ตอนนี้ย่างเข้าสู่เลข 4 นำหน้าคงพอเข้าใจกันดีกว่า การจะได้ดูหนังใหม่ ฟังเพลงใหม่ ต้องรอกันข้ามปี บางทีก็ 2 ปีเลยก็มีเพราะอะไร เพราะกระแสมันยังไม่ตกดารานักร้อง ยังร้องเพลงเก่าขายได้อีกนาน แล้วก็หนังใหม่บางพื้นที่ก็ยังไม่ได้ดูก็ต้องกระจายทุกอย่างให้ทั่วถึงก่อน เพราะสมัยนั้นไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีใครรู้ว่าจะได้ดูหนังที่สุขสบายแบบทุกวันนี้
หรืออย่างมือถือสมัยก่อนนั้น แค่เป็นมือถือก็ดีใจกันยกใหญ่แล้วพอไม่นานก็เริ่มมีจอสีออกมาแล้วก็ตามมาติดๆกับการถ่ายรูปกับมือถือได้ ซึ่งตอนนี้จัดว่าเป็นกระแสเขย่าโลกกันเลยจริงๆ ใครที่มีมือถือถ่ายรูปได้จัดว่าเป็นอะไรที่ล้ำยุค ล้ำสมัยสุดๆ ยิ่งได้พกไว้ที่ข้างกางเกงแล้วเวลาอยู่ในกลุ่มคน มีคนโทรเข้ามันจะดูเท่ห์ระเบิดเป็นที่สุด แต่มายุคนี้มันไม่ได้เป็นแบบนั้นอีกแล้ว มันกลายเป็นว่ามือถือมีเพียงรูปแบบเดียว ไม่มีจอพับ ไม่มีการไสด์หน้าจอ มีแต่จอเล็กๆ ขนาด 4-5-6 นิ้วถ้าใหญ่หน่อยก็แท็บเล็ตกันไปเลย แล้วก็ใช้งานได้ไม่ต่างจากคอมพิวเตอร์เลยแม้แต่น้อย แถมด้วย ภาพเสียงชัดเจนกว่าเมื่อ 10 ปีก่อนอย่างมาก ไม่ยากจะเชื่อว่าการพัฒนาในการสื่อสารจะไปได้เร็วขนาดนี้
ถ้าย้อนกลับไปไกลอีกนิด เมื่อสัก 30-40 ปีก่อน การสื่อสารที่ดีและเร็วที่สุดก็คงจะเป็นเพียงแค่โทรศัพท์บ้าน ไม่ก็โทรศัพท์สาธารณะเท่านั้น และเราก็อยู่ในยุคนั้นมาอย่างยาวนานมากๆ ยิ่งเป็นคนรุ่น 60-70 ในยุคปัจจุบัน ก็อยู่กับเรื่องราวเหล่านี้มามากกว่า 30 ปีด้วยซ้ำ การพัฒนาการสื่อสารมาพัฒนาเร็วก็เมื่อ 5 ปีหลังนี้จริงๆ ข้ามโลกได้ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที ทุกอย่างไม่มีพรมแดนอีกแล้ว การติดต่อสื่อสารง่ายกว่าการต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วยซ้ำ ต้มบะหมี่ต้องรอ 3 นาทีทั้งที่อยู่ตรงหน้า แต่อยากคุยกับคนที่ห่างกันนับ หมื่นกิโลเมตร ใช้เวลาเพียง 5 วินาทีก็ได้พบได้คุยกันแล้ว มันช่างต่างกันเสียจริงๆ
แล้วเมื่อทุกอย่างมันง่ายและไวแบบนี้ก็ยิ่งทำให้คนเราใจร้อน หัวร้อนกันง่ายยิ่งขึ้น ไม่รู้จักคำว่ารอ ไม่รู้จักคำว่าเสียสละรู้แค่เพียงว่าต้องได้ และต้องดี คนดีก็เริ่มน้อยลงเพราะคนเห็นแก่ตัวมากขึ้น เราจำเป็นต้องทำทุกอย่างให้ช้าลงอีกนิด แล้วให้เวลาเดินทางไปพร้อมกับเราอย่าเดินนำหน้าเวลา ยิ่งเราหนีเท่าไหร่ก็ยิ่งโดนไล่ตามแบบไม่มีวันหยุดเท่านั้น อะไรที่ควรรอก็รอกันอีกนิด อะไรที่ทำเร็วได้ก็ใช้เวลาในการตรวจสอบอีกสักหน่อย แล้วคำว่าเข้าใจ ให้อภัย ขอบคุณก็จะเกิดมากขึ้น
โลกไร้พรมแดน หมายถึง การที่เราจะทำความรู้จักกันมากขึ้น ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีสิทธิอะไรมากขึ้น เราควรต้องมีความเข้าใจผู้อื่นในต่างแดนให้มากกว่าเดิม แล้วทุกอย่างก็จะเกิดผลดีตามมา พรมแดนเมื่อได้ข้ามไปแล้วก็ต้องศึกษาหาความรู้ หาความสุขกับสิ่งที่เราได้เจอ คิดง่ายๆ แค่นี้ก็จะมีความสุขเพิ่มขึ้น